เมนู

อรรถกถาพาลบัณฑิตสูตร



พาลบัณฑิตสูตร มีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาลลกฺขณานิ ความว่า ที่ชื่อว่า
พาลลักขณะ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องกำหนด คือเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า
ผู้นี้เป็นคนพาล. พาลลักษณะเหล่านั้นแหละ ท่านเรียกว่า พาลนิมิต เพราะ
เป็นเหตุแห่งการหมายรู้ว่า ผู้นั้นเป็นคนพาล. เรียกว่า พาลาปทาน เพราะ
คนพาลประพฤติไม่ขาด. บทว่า ทุจฺจินฺติตฺจินฺตี ความว่า ธรรมดาคนพาล
แม้เมื่อคิดย่อมคิดแต่เรื่องชั่ว ๆ ด้วยอำนาจอภิชฌา พยาบาทและความเห็นผิด
ฝ่ายเดียว. บทว่า ทุพฺภาสิตภาสี ความว่า แม้เมื่อพูด ก็พูดแต่คำชั่ว ๆ
ต่างโดยวจีทุจริตมีมุสาวาทเป็นต้น. บทว่า ทุกฺกฏกมฺมการี ความว่าแม้
เมื่อทำก็ทำจำเพาะแต่กรรมชั่ว ๆ ด้วยสามารถแห่งกายทุจริต มีปาณาติบาต
เป็นต้น.
บทว่า ตตฺร เจ ได้แก่ ในบริษัทที่คนพาลนั่งแล้วนั้น. บทว่า ตชฺชํ
ตสฺสารุปฺปํ
ความว่า จะพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะแก่เขา คือเหมาะสมแก่เขา
อธิบายว่า ได้แก่ถ้อยคำที่ปฏิสังยุตด้วยโทษ ทั้งที่เป็นไปในปัจจุบัน และ
สัมปรายิกภพของเวรทั้ง 5. บทว่า ตตฺร ได้แก่ ถ้อยคำที่พูดถึงกันอยู่นั้น.
บทว่า พาลํ เป็นต้น เป็นทุติยาวิภัต ใช้ในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ.
บทว่า โอลมฺพนฺติ ความว่า ย่อมเข้าไปตั้งอยู่. สองบทที่เหลือ
เป็นไวพจน์ของ บทว่า โอลมฺพนฺติ นั้น ลักษณะคนพาลเหล่านั้น ย่อม

ปรากฏโดยอาการที่การแผ่ไปเป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า
ปฐวิยา โอลมฺพนฺติ ได้แก่ แผ่ไปบนพื้นดิน สองบทที่เหลือก็เป็นไวพจน์
ของบทนั้นแหละ. ก็ข้อนั้นเป็นอาการที่แผ่ไป. บทว่า ตตฺร ภิกฺขเว พาลสฺส
ความว่า เมื่อปรากฏการณ์นั้น มาถึง แต่นั้นคนพาลย่อมมีความคิดอย่างนี้.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า ภิกษุผู้ฉลาดในอนุสนธิคิดว่าใคร ๆ ไม่สามารถ
จะทำข้ออุปมาของนรกได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ตรัสไว้ แต่ตรัสว่า มิใช่
ของที่ทำได้โดยง่าย และถึงจะทำได้ง่ายก็ไม่มีผู้สามารถจะทำได้ เอาเถิด เราจะ
ทูลเชิญให้พระทศพลทรงกระทำข้ออุปนาดังนี้ แล้วได้กล่าวคำนี้ว่า เอตํ สกฺก
ภนฺเต ดังนี้.
บทว่า หเนยฺยุํ ความว่า พึงฆ่าแบบแทงซ้ำสองครั้งในที่เดียวกัน ไม่
ให้ถึงตาย โดยวิธีแทงซ้ำแล้วก็ไป. เพราะฉะนั้นโจรนั้นจึงมีปากแผลถึง 200
แห่ง. แม้บทที่มีจำนวนยิ่งไปกว่านี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ปาณิมตฺตํ
ได้แก่ มีขนาดเพียงตั้งอยู่ในฝ่ามือ. บทว่า สงฺขํปิ น อุเปติ แปลว่า ไม่
ถึงขนาดที่พอจะนับได้. บทว่า กลฺลภาคมฺปิ ความว่า ไม่ถึงขั้นที่ควรจะ
กล่าวว่า เข้าถึงเสี้ยวที่ร้อย เสี้ยวที่พัน หรือเสี้ยวที่แสน. บทว่า อุปนิธํปิ
ได้แก่ ไม่ถึงการเข้าไปเปรียบเทียบ คือไม่มีแม้แต่คนที่เหลียวมอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโยขีลํ ความว่า จะให้สัตว์นรกผู้มี
อัตภาพ 3 คาวุตนอนหงายบนแผ่นโลหะที่ลุกโพลง เอาหลาวเหล็กประมาณ
เท่าลำตาลสอดเข้าไปในมือข้างขวา ในมือซ้ายเป็นต้น ก็ทำอย่างนั้น แล้วให้
นอนคว่ำบ้าง นอนตะแคงขวาบ้าง ตะแคงซ้ายบ้าง โดยลงโทษเหมือนอย่าง
ที่นอนหงายแล้วลงโทษแบบเดียวกัน. บทว่า สํเวสิตฺวา ความว่า นาย-
นิรยบาลจะจับสัตว์นรก ผู้มีอัตภาพ 3 คาวุตให้นอนบนแผ่นโลหะที่ลุกโพลง.
บทว่า กุฐารีหิ ความว่า จะถากด้วยผึ่งใหญ่ขนาดครึ่งหลังคาเรือน. โลหิต

จะไหลเป็นน้ำ โลหิตจะพลุ่งขึ้นจากแผ่นดินเป็นเปลวไฟจดถึงที่ ๆ เขาถากแล้ว.
ทุกข์อย่างให้หลวงจะเกิดขึ้น และเมื่อจะถากก็ถากทำให้เป็นเส้น บรรทัดถาก
ออกเป็น 8 เสี่ยงบ้าง 6 เสี่ยงบ้าง ดุจถากฟืน. บทว่า วาสีหิ ได้แก่ มีดที่
มีประมาณเท่ากระด้งขนาดใหญ่. เมื่อถากด้วยมีดเหล่านั้น ก็ถากตั้งแต่หนังไป
จนถึงกระดูก อวัยวะที่ถากออกแล้ว ๆ ย่อมกลับตั้งอยู่ตามปกติ. บทว่า รเถ
โยเชตฺวา ความว่า เทียมรถที่ลุกโพลงโดยประการทั้งปวง พร้อมทั้งเชือกคู่
ช่วงล้อ ธูป และปฏัก. บทว่า มหนฺตํ ได้แก่ มีประมาณเท่าเรือนยอด
ขนาดใหญ่. บทว่า อาโรเปนฺติ ความว่า นายนิรยบาลจะโบยด้วยฆ้อนเหล็ก
ที่ลุกโพลงแล้วบังคับให้สัตว์นรกปีนขึ้น. บทว่า สกึปิ อุทฺธํ ความว่า เขา
จะพล่านขึ้นข้างบนบ้าง ข้างล่างบ้าง ด้านขวางบ้าง เหมือนเมล็ดข้าวสารที่
เขาใส่ไปในหม้อข้าวที่กำลังเดือดพล่าน.
บทว่า ภาคโส มิโต ได้แก่ แบ่งแยกไว้เป็นส่วนเท่า ๆ กัน. บท
ว่า ปริยนฺโต แปลว่า ล้อมรอบ. บทว่า อยสา ความว่า ข้างบนครอบ
ไว้ด้วยแผ่นเหล็ก. บทว่า สมนฺตา โยชนสตํ ผริตฺวา ติฏฺฐติ ความว่า
แผ่ไปแล้วอย่างนี้ ตั้งอยู่ เหมือนนัยน์ตาของผู้ที่ยืนมองดูอยู่ในที่ไกลประมาณ
100 โยชน์โดยรอบ จะทะเล้นออกมาเหมือนลูกกลม ๆทั้งคู่. บทว่า น สุกรํ
อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ
มีอธิบายว่า แม้ถึงจะกล่าวพรรณนาไปตั้ง 100 ปี พัน
ปี จนถึงทีสุดว่า ขึ้นชื่อว่านรกเป็นทุกข์แม้อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นของที่ทำได้โดย
ง่าย. บทว่า ทนฺตุลฺเลหกํ แปลว่า ใช้ฟันและเล็บอธิบายว่า ถอนขึ้นด้วย
ฟัน. บทว่า รสาโท ได้แก่ บริโภคด้วยคิดใจในรส โดยความอยากในรส
อาหาร. บทว่า อญฺญมญฺญขาทิกา แปลว่า มีแต่การกินกันเอง. บทว่า
ทุพฺพณฺโณ แปลว่า มีรูปทราม. บทว่า ทุทฺทสิโก ได้แก่มีรูปน่าเกลียด
ชังดุจยักษ์ที่เขาปั้นไว้เพื่อหลอกให้เด็กกลัว. บทว่า โอโกฏิมโก ได้แก่ เป็น

ร่างเตี้ย คอสั้น ท้องพลุ้ย. บทว่า กาโณ ได้แก่ เป็นคนตาบอดข้างเดียว
หรือตาบอดสองข้าง. บทว่า กุณี ได้แก่ คนที่มือด้วนข้างหนึ่ง หรือมีมือ
ด้วยสองข้าง. บทว่า ปกฺขหโต แปลว่า เป็นคนง่อยเปลี้ย. บทว่า โส
กาเยน เป็นต้นนี้ ท่านปรารภไว้เพื่อแสดงถึงการเข้าไปผูกพันกับความทุกข์
ของสัตว์นรกนั้น. บทว่า กลิคฺคเหน แปลว่า ด้วยความพ่ายแพ้. บทว่า
อธิพนฺธํ นิคจฺเฉยฺย ความว่า เพราะสมบัติทุกอย่างเป็นจำนวนมากของผู้แพ้
ยังไม่พอให้ผู้ชนะ ฉะนั้นเขาจึงต้องถูกจองจำอีกด้วย. บทว่า เกวลา ปริปูรา
พาลภูมิ
ความว่า คนพาลบำเพ็ญทุจริต 3 อย่าง บริบูรณ์แล้ว ย่อมบังเกิด
ในนรก แต่ด้วยเศษแห่งกรรมที่เหลือในนรกนั้น แม้เขาจะได้กลับมาเกิดเป็น
มนุษย์ ก็ต้องเกิดในตระกูลต่ำทั้ง 5 และถ้ายังทำทุจริต 3 อีก ก็ต้องบังเกิด
ในนรก ทั้งหมดนี้เป็นพื้นของคนพาลอย่างสมบูรณ์.
บทมีอาทิว่า ปณฺฑิตลกฺขณานิ พึงทราบโดยทำนองดังกล่าวแล้ว
นั้นแหละ. ก็บททั้งหลายมีอาทิว่า สุจินฺติตจินฺตี ในนิเทศนี้พึงประกอบเข้า
ด้วยสามารถแห่งมโนสุจริตเป็นต้น. บทว่า สีสนหาตสฺส ได้แก่ ทรงสนาน
พระเศียรด้วยน้ำหอม. บทว่า อุโปสถิกสฺส ได้แก่ ทรงสมาทานองค์อุโบสถ
แล้ว. บทว่า อุปริปาสาทจรคตสฺส แปลว่า เมื่อประทับอยู่ในมหาปราสาท
ชั้นบน คือทรงเสวยสุธาโภชน์เสด็จเข้าสู่ห้องอันมีสิริ บนพื้นอันโอ่โถง เบื้อง
บนมหาปราสาททรงรำพึงถึงศีลทั้งหลายอยู่.
เล่ากันว่า ครั้งนั้น พระราชา พอรุ่งเช้าก็สละพระราชทรัพย์หนึ่งแสน
ถวายมหาทานสนานพระเศียรด้วยคันโธทก ครั้งละ 16 หม้อ เสวยพระกระยา-
หารเช้าแล้ว ทรงเฉวียงบ่าด้วยผ้าขาวบริสุทธิ์ นั่งขัดสมาธิบนพระที่บรรทมอัน
มีสิริชั้นบนปราสาทประทับ นั่งรำพึงถึงกองบุญคือ ทาน ความข่มใจ และความ
สำรวมของพระองค์. นี้เป็นธรรมดาของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งปวง.

เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเหล่านั้น กำลังพิจารณาถึงกองบุญอยู่นั่นเอง
ทิพยจักรรัตนะมีบุญกรรมมีประการดังกล่าวแล้วเป็นปัจจัย มีฤดูเป็นสมุฏฐาน
มีลักษณะคล้ายกับก้อนแก้วมณีสีเขียว ก็ปรากฏขึ้นดุจแหวกพื้นน้ำมหาสมุทรขึ้น
มาทางปาจีนทิศ อุปมาดังจะทำห้วงนภากาศให้งดงาม. ก็จักรัตนะนั้น ท่าน
เรียกว่า เป็นทิพย์ เพราะประกอบไปด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์. ขึ้นชื่อว่า
สหัสสาระเพราะมีกำตั้งพัน ชื่อว่า สนาภิกํ สเนมิกํ เพราะประกอบไปด้วย
กงและดุม. ชื่อว่า สพฺพาการปริปูรํ เพราะบริบูรณ์ไปด้วยอาการทุกอย่าง.
พึงทราบวินัยในอาการเหล่านั้นดังต่อไปนี้ ชื่อว่าจักรรัตนะ เพราะ
เป็นจักรและเป็นทั้งรัตนะ ด้วยอรรถว่ายังความยินดีในเกิด. ก็ดุมของจักรรัตนะ
ที่ท่านกล่าวว่า พร้อมไปด้วยดุมนี้นั้น ล้วนแล้วไปด้วยแก้วอินทนิล. ก็ตรง
กลางดุมนั้น มีช่องสำเร็จด้วยเงินงามผุดผาดเหมือนการยิ้มสรวลของมีระเบียบ
ฟันสะอาดแนบสนิทดี. และล้อมไปด้วยแผ่นเงินทั้งสองด้าน. คือทั้งด้านนอก
และด้านในดุจมณฑลแห่งควงจันทร์ที่มีช่องตรงกลางฉะนั้น. ก็ในที่ซึ่งแผ่นเงิน
แวดวงไปด้วยดุมและช่องเหล่านั้น ปรากฏว่ามีรอยเขียนที่กำหนดไว้ในฐานที่
เหมาะสม ได้ถูกจัดไว้แล้วเป็นอย่างดี นี้เป็นความบริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง
ของดุมแห่งจักรรัตนะนั้น ก่อน.
ก็จักรรัตนะที่ท่านกล่าวว่ามีซี่ตั้งพัน ประกอบไปด้วยซี่เหล่าใด ซี่
เหล่านั้นสำเร็จด้วยรัตนะ 7 สมบูรณ์ด้วยรัศมี ดุจรัศมีแห่งควงอาทิตย์. แม้ซี่
เหล่านั้นก็ปรากฏว่าได้จำแนกไว้แล้วเป็นอย่างดีเหมือนกัน เช่นลายเขียนทีเขียน
เป็นหม้อน้ำแก้วมณีเป็นต้น. นี้เป็นความบริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง ของซี่ทั้ง
หลายแห่งจักรรัตนะนั้น.

ก็จักรรัตนะที่ท่านกล่าวว่าพร้อมด้วยกง ประกอบไปด้วยกงใด กงนั้น
สำเร็จแก้วประพาฬ มีสีแดงบริสุทธิ์ น่ารัก เหมือนจะเย้ยกลุ่มรัศมีแห่งดวง
อาทิตย์ที่กำลังทอแสงฉะนั้น.
ก็ที่ต่อของกงนั้น เป็นแผ่นทองชมพูนุทสีแดงมีชื่อเสียงน่าชื่นชมและ
มีลายเขียนเป็นวงกลมปรากฏว่า ท่านจัดแจงไว้แล้วเป็นอย่างดี นี้เป็นความ
บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่างของดุม แห่งทิพยจักรรัตนะนั้น.
ก็ด้านหลังมณฑลของดุมแห่งทิพยจักรรัตนะ มีไม้สำเร็จด้วยแก้ว
ปะพาฬ เหมือนหลอดไม้อ้อที่มีช่องข้างใน ประดับเป็นวงกลม ๆ อยู่ที่กำข้าง
ละสิบ ๆ ไม้สำเร็จด้วยแก้วประพาฬใด เวลาลมพัดโชยจะเปล่งเสียงไพเราะ
ก่อให้เกิดความรัญจวนใจ เพลิดเพลิน เหมือนเสียงของดนตรีมีองค์ 5 ที่
บรรเลงโดยศิลปินผู้เชี่ยวชาญฉะนั้น. ก็ไม้สำเร็จด้วยแก้วประพาฬนั้นแหละ. มี
เศวตฉัตรอยู่ข้างบน มีพวงดอกโกสุมรวมกลุ่มเป็นระเบียบทั้งสองด้าน ด้วย
ประการดังพรรณนามานี้ จึงมีสีหบัญชรสองด้าน ภายในกำแห่งดุมทั้งสองของ
ทิพยจักรรัตนะอันแวดวงไปด้วยกง ที่เข้าไปเสริมความสง่างามด้วยไม้สำเร็จ
ด้วยแก้วประพาฬหนึ่งร้อย สำหรับทรงไว้ซึ่งเศวรฉัตรหนึ่งร้อย มีพวงโกสุมปก
คลุมเป็นระเบียบถึงสองร้อยเป็นบริวาร ซึ่งมีกลุ่มแห่งแก้วมุกดาทั้งสองห้อย
ย้อยอยู่ ดูประหนึ่งจะงามเกินความงามตามธรรมชาติของอากาศคงคา มีสิริ
ด้วยกลุ่มแสงจันทร์วันเพ็ญที่สาดแสงไปประมาณชั่วลำตาล สุดลงด้วยกลุ่มผ้า
กำพลสีแดงเหมือนแสงพระอาทิตย์อ่อน ๆ จักรทั้ง 3 ปรากฏว่าเหมือนหมุนไป
พร้อม ๆ กัน โดยการหมุนผัดผันไปในอากาศพร้อมด้วยจักรรัตนะ. นี้เป็น
ความบริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง โดยประการทั้งปวงของจักรรัตนะนั้น.
ก็เมื่อพวกมนุษย์บริโภคอาหารมื้อเย็น ตามปกติเสร็จแล้วนั่งบนอาสนะ.
ที่เขาปูไว้ บนประตูเรือนของตน ๆ สนทนากันอยู่ถึงเหตุการณ์เรื่องราวตามที่

เป็นไป เมื่อหมู่ทารกผู้ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป (รุ่นเยาว์) กำลังเล่นอยู่
ในถนนและทางสี่แพร่งเป็นต้น ทิพยจักรรัตนะนั้นแล ก็เดินทางมุ่งหน้ามายัง
ราชธานี ประดุจเข้าไปส่งเสริมความงาม กิ่งไม้ยอดไม้ เพิ่มบรรยากาศจน
สุดบริเวณในไพรสณฑ์ ชวนให้หมู่สัตว์เงี่ยโสดสดับ ด้วยเสียงอันไพเราะ พึงได้
ไกลถึง 12 โยชน์ ชวนให้มองโดยมีแสงสีรุ่งเรืองเป็นเหตุให้เกิดรัศมีมีประการ
ต่าง ๆ เห็นได้ไกลโยชน์หนึ่ง ดุจประกาศบุญญานุภาพแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ.
ครั้นจักรรัตนะนั้น ส่งสำเนียงไปทั่วป่านั่นเอง คนเหล่านั้นครุ่นคิด
อยู่ว่า เสียงนี้มาแต่ไหนหนอ ต่างก็แหงนดูไปทางทิศบูรพาต่างคนต่างพูดกัน
อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงดูสิ่งอัศจรรย์ทุก ๆ คืนพระจันทร์เพ็ญขึ้น
ดวงเดียว แต่วันนี้ขึ้นสองดวง ก็ดวงจันทร์ทั้งคู่นี้ เคลื่อนคล้อยขึ้นไปสู่นภา-
กาศโดยมุ่งไปทางทิศบูรพา อุปมาเหมือนพญาหงส์ทั้งคู่ ร่อนอยู่ในนภากาศ
ฉะนั้น. อีกพวกหนึ่งกล่าวค้านว่า สหายท่านพูดอะไร พระจันทร์สองดวง
ขึ้นพร้อมกันท่านเคยเห็นที่ไหนบ้าง นั้นคือพระอาทิตย์ผู้ทรงไว้ซึ่งรัศมีอัน
แผดกล้า มีสีแดงเหลืองโผล่ขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ อีกพวกหนึ่ง กล่าวถากถาง
เยาะเย้ยพวกนั้นว่า ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ พระอาทิตย์เพิ่งจะตกไปเดี๋ยวนี้
เองมิใช่หรือ พระอาทิตย์นั้น จะขึ้นตานพระจันทร์เพ็ญดวงนี้ได้อย่างไร แต่
นี่จะต้องเป็นวิมานของท่านผู้มีบุญคนหนึ่ง จึงรุ่งเรื่องไปด้วยแสงสว่างแห่ง
รัตนะมิใช่น้อย. คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดต่างฝ่ายต่างเห็นไปคนละอย่าง คนพวก
หลังจึงกล่าวอย่างนี้ว่า พวกท่านทั้งหลายพูดเพ้อเจ้อให้มากเรื่องไปทำไม นั่น
ไม่ใช่พระจันทร์เพ็ญ ไม่ใช่ควงอาทิตย์ ไม่ใช่วิมานของเทพ ที่แท้สิริสมบัติ
เห็นปานนี้ มิได้เกิดขึ้นเพื่อสิ่งเหล่านั้น แต่สิ่งนั้นชะรอยจักเป็นจักรรัตนะ.
เมื่อการเจรจาโต้เถียงยังดำเนินไปอยู่เช่นนี้ จักรรัตนะนั้นก็ละจีนท-
มณฑลมุ่งตรงมา. แต่นั้นเมื่อคนเหล่านั้นพูดกันว่า จักรรัตนะนี้ บังเกิดขึ้น

เพื่อใครหนอแล ก็มีผู้พูดขึ้นว่า จักรรัตนะนี้มิได้เกิดขึ้นแก่ผู้ใดใครอื่น
มหาราชของพวกเราทั้งหลายทรงบำเพ็ญความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิสมบูรณ์แล้ว
จักรรัตนะนี้บังเกิดเป็นคู่บุญบารมีของพระองค์แน่นอน.
ลำดับนั้น ทั้งมหาชนกลุ่มนั้น ทั้งคนอื่น ๆ ที่มองเห็น ทุก ๆ คน ก็
เดินตามจักรรัตนะไปเรื่อย ๆ. แม้จักรรัตนะนั้นก็เวียนรอบพระนครไปจนสุด
กำแพงที่เดียว เจ็ดรอบ เหมือนหนึ่งจะประกาศให้คนทั่วไปรู้ข้อที่คนลอยมา
เพื่อเป็นสมบัติของพระราชาพระองค์เดียว กระทำประทักษิณภายในพระราชวัง
ของพระราชาแล้ว ประดิษฐานอยู่ในที่คล้ายสีหบัญชรด้านทิศอุดรของพระ-
ราชวัง เหมือนถูกไม้สลักขัดไว้ เพื่อให้มหาชนบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของ
หอมและดอกไม้เป็นต้นได้โดยสะดวก.
ก็เมื่อทิพยจักรรัตนะนั้น ตั้งอยู่ด้วยประการฉะนั้นแล้ว พระราชาธิบดี
เห็นกองรัศมี มีพระทัยปรารถนาที่จะทอดพระเนตรชมฉัตรแก้วที่เข้าไปทาง
ช่องแห่งสีหบัญชร กระทำให้ภายในปราสาทรุ่งเรืองด้วยรัศมีแก้ว ก่อให้เกิด
ความยินดีมีประการต่าง ๆ แม้หมู่ชนที่ห้อมล้อม ก็พากันกราบทูลมูลเหตุแห่ง
จักรรัตนะนั้น ด้วยถ้อยคำล้วนแต่น่ารัก กาลนั้นพระราชาธิบดีมีพระวรกาย
ท่วมล้นไปด้วยปิติปราโมทย์อย่างแรงกล้า มีพระอุตสาหะละเสียซึ่งบัลลังก์ ทรง
อุฏฐานการจากอาสนะ เสด็จไปสู่ที่ใกล้สีหบัญชรทอดพระเนตรเห็นจักรแก้วแล้ว
จึงทรงจินตนาการว่า ก็เราได้ยินคำโบราณท่านเล่ามาว่า ฯลฯ ดังนี้เป็นอาทิ.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้วจึงทรงมีพระดำริว่า
ฯลฯ เราพึงได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแน่นอนดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส โหติ ราชา จกฺกวตฺติ ความว่า
ถามว่าพระราชาย่อมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร.

ตอบว่า ด้วยเหตุเพียงจักรรัตนะเหาะขึ้นสู่อากาศ เพียงองคุลีหนึ่งก็ได้
สององคุลีก็ได้.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงข้อที่พระราชาพึงการทำในวิธีปราบดาภิเษกเป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ จึงตรัสดำมีอาทิว่า อถ โข ภิกฺขเว ดังนี้. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า อฏฺฐายาสนา ได้แก่ ทรงลุกจากอาสนะที่ประทับนั่งเสด็จ
มาใกล้จักรรัตนะ. บทว่า สุวณฺณภิงฺคารํ คเหตฺวา ความว่า ทรงยกสุวรรณ
ภิงคาร มีช่องคล้ายงวงช้าง ทรงจับเต้าน้ำด้วยพระหัตถ์ซ้าย (ทรงหลั่งรด
จักรแก้วด้วยพระหัตถ์ขวา) รับสั่งว่า จงพัดผันไปเถิดจักรแก้วผู้เจริญ จงมี
ชัยชนะอย่างผู้ยิ่งใหญ่เถิดจักรแก้วผู้เจริญ. บทว่า อนฺวเทว ราชา จกฺกวตฺติ
สิทฺธึ จาตุรงฺคินิยา เสนาย
ความว่า ก็ในขณะที่พระราชาทรงหลั่งน้ำ มุ่ง
ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วรับสั่งว่า จงมีชัยชนะอย่างผู้ยิ่งใหญ่เถิด
จักรแก้วผู้เจริญนั่นแหละ จักรแก้วก็ลอยขึ้นสู่เวหาส พัดผันไป. พระราชานั้น
ย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิตลอดเวลาที่จักรแก้วพัดผันไป. ก็เมื่อจักร
แก้วพัดผันไปแล้ว พระราชาผู้กำลังติดตามจักรแก้วนั้นไปเรื่อย ๆ ก็เสด็จขึ้นสู่
ยานอัน ประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ เหาะขึ้นสู่เวหาสด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น คนผู้เป็นบริวาร และข้าราชการในราชสำนักของพระองค์
ต่างก็ถือฉัตรและจามรเป็นต้น ถัดจากนั้นไปก็ถึงกลุ่มอิสรชนจำเดิมแต่อุปราช
เสนาบดี พรั่งพร้อมไปด้วยกำลังทัพของพระองค์ที่ตกแต่งเครื่องสนาม (ผูก
สอด) มีเสื้อเกราะและเกราะ 6 ประการเป็นนี้ ประดับด้วยธงชัย ธงแผ่นผ้า
ที่ยกขึ้นโชติช่วงพร้อมไปด้วยแสงสีที่นำมาประดับหลายสิ่งหลายประการ ต่าง
เหาะขึ้นสู่เวหาสห้อมล้อมพระราชาเพียงผู้เดียว. ก็เพื่อจะสงเคราะห์ประชาชน
พวกพนักงานของพระราชา จึงป่าวประกาศไปทั่วทุกถนนในพระนครว่า พ่อแม่
ทั่งหลาย จักรแก้วเกิดแล้วแก่พระราชาของพวกเรา พวกท่านจงรีบจัดแจงแต่ง

ตัวตามฐานานุรูปของตน ๆ เร่งมาประชุมกันเถิด. ก็มหาชนต่างละการงานทุก
อย่างที่ต้องทำตามปกติ ถือเครื่องสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ประชุม
กันแล้ว ตามเสียงแห่งจักรแก้วนั่นแหละ แม้มหาชนทั้งหมดนั้น ก็เหาะขึ้นสู่
เวหาส แวดล้อมพระราชาพระองค์เดียว คือผู้ใดประสงค์จะเดินทางร่วมไป
กับพระราชา ผู้นั้นก็ไปทางอากาศ ด้วยประการฉะนี้. จึงมีบริษัทมาประชุม
กันทั้งด้านยาว ด้านกว้างประมาณ 12 โยชน์ ในบริษัทนั้นไม่มีแม้แต่คนเดี่ยว
ที่จะมีอวัยวะพิกลพิการ หรือนุ่งห่มเศร้าหมอง พระราชาจึงมีบริวารที่สะอาด
ธรรมดาบริษัทของพระเจ้าจักรพรรดิเดินทางไปทางอากาศ เหมือนบริษัทของ
วิทยาธร ย่อมเป็นเช่นกับรัตนะที่เกลื่อนกล่นอยู่บนพื้นแก้วอินทนิล เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ว่า พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจาตุรงคินีเสนา ก็เสด็จตามไป
แม้จักรรัตนะนั้นก็พัดผันไป โดยอากาศประเทศ ไม่สูงเกินไป อยู่
ในระดับยอดไม้ สามารถให้คนหมายรู้ได้ว่า นั่นพระราชา นั่นอุปราช นั่น
เสนาบดี อุปมาเหมือนคนที่ต้องการดอกไม้ ผลไม้ หรือใบไม้ ยืนอยู่ที่พื้นดิน
ก็สามารถจะเก็บเอาสิ่งของเหล่านั้นได้โดยสะดวก. ผู้ใดประสงค์จะไปในอิริยาบถ
ใด มียืนเป็นต้น ผู้นั้นก็ไปได้โดยอิริยาบถนั้น. ส่วนผู้ที่จะสนใจในศิลปะ
มีจิตรกรรมเป็นต้น ต่างก็ดำเนินธุรกิจของตน ๆ ไปได้ในอากาศนั้น. ที่พื้นดิน
เคยดำเนินธุรกิจอย่างใด ในอากาศก็สามารถดำเนินธุรกิจทุกอย่างได้ฉันนั้น
จักรรัตนะนั้น พาบริษัทของพระเจ้าจักรพรรดิ เลาะลัดเขาสิเนรุราชไปทาง
ด้านซ้ายผ่านพื้นมหาสมุทรไปจนถึงกรุงบุพวิเทหะ ประมาณได้ 8,000 โยชน์.
จักรรัตนะนั้นประดิษฐานอยู่บนอากาศ เหมือนถูกลิ่มสลักไว้เบื้องบนภูมิภาค
ทีเหมาะแก่การชุมนุมของบริษัทกว้าง 12 โยชน์ วัดโดยรอบได้ 36 โยชน์
หาอุปกรณ์ทำอาหารได้สะดวก สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำมีพื้นที่สะอาดราบเรียบ
น่ารื่นรมย์ กาลนั้น มหาชนลงแล้วโดยสัญญาณนั้นทำกิจทุกอย่าง เช่นอาบน้ำ

บริโภคอาหารเป็นต้น อยู่กันตามใจชอบ. เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
จักรแก้วประดิษฐานอยู่ ณ ประเทศใด พระเจ้าจักรพรรดิก็เสด็จเข้าประทับ
ณ ประเทศนั้น พร้อมด้วยจาตุรงคินีเสนา.
ก็เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จเข้าไปประทับอยู่อย่างนี้ พระราชาใน
ประเทศนั้น ๆ พอได้สดับว่าจักรมาแล้ว ก็สั่งประชุมพลนิกายไม่เตรียมรบ
ก็ในระหว่างที่จักรรัตนะเกิดขึ้นแล้วนั้นแล ไม่มีผู้ใดจะกล้าหยิบอาวุธขึ้นต่อสู้
พระราชาโดยหมายเป็นข้าศึก. นี่เป็นอานุภาพของจักรรัตนะ.
ด้วยอานุภาพของจักร อริราชศัตรู
ของพระราชาพระองค์นั้น ย่อมถึงความ
สงบไปโดยไม่เหลือ ด้วยเหตุนั่งเอง
จักรของพระราชาธิบดีพระองค์นั้น จึง
เรียกว่า อรินทมะ.

เพราะฉะนั้น พระราชาเหล่านั้นทุก ๆ พระองค์ ต่างก็ถือเอาสมบัติ
ที่สมควรแก่สิริราชสมบัติของตน ๆ น้อมเศียรสยบองค์พระเจ้าจักรพรรดิ กระทำ
การบูชาพระบาทของพระองค์ ด้วยวิธีปราบดาภิเษกด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี
ที่พระโมฬีของตน ถึงการยอมจำนนด้วยกล่าวคำเป็นต้นว่า เชิญเสด็จเถิด
มหาราชดังนี้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ประดาพระราชาที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศตะวันออก เข้ามาเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ
แล้วทูลอย่างนี้ว่า เชิญเสด็จเถิดมหาราชพระองค์มาดีแล้ว มหาราช แผ่นดินนี้
เป็นของพระองค์ ขอพระองค์จงทรงปกครองเถิด ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สฺวาคตํ แปลว่า เสด็จมาดี. มีอธิบายว่า เมื่อพระราชาพวกหนึ่ง
เสด็จมา ชาวประชาโศกเศร้า เมื่อเสด็จไปชาวประชาชื่นชม เมื่อพระราชา

บางพระองค์เสด็จมา ชาวประชาชื่นชม เมื่อเสด็จไป ชาวประชาโศกเศร้า
พระองค์เป็นเสมือนพระราชาประเภทหลัง คือเมื่อเวลาเสด็จมา ชาวประชา
ชื่นชม เวลาเสด็จไป ประชาชนโศกเศร้า เพราะฉะนั้น การเสด็จมาของ
พระองค์จึงชื่อว่า เสด็จมาดี. ก็เมื่อพวกเจ้าประเทศราชกราบทูลเช่นนี้แล้ว
แม้พระเจ้าจักรพรรดิก็มิได้ตรัสว่า พวกท่านต้องส่งบรรณาการแก่เรา ตลอดเวลา
เท่านี้ปี ทั้งไม่ทรงริบสมบัติของคนหนึ่ง ๆ ไปให้อีกคนหนึ่ง แต่ทรง
เข้าไปกำหนดอกุศลกรรมบถมีปาณาติบาตเป็นต้น ด้วยปัญญาอันสมควรแก่ภาวะ
ที่พระองค์เป็นธรรมราชา ทรงแสดงธรรมด้วยพระสุระเสียงอัน น่ารัก น่าชอบใจ
โดยนัยเป็นต้นว่า ขึ้นชื่อว่า ปาณาติบาตนี้ ใครส้องเสพ เจริญทำให้มาก
ย่อมเป็นไปเพื่อนรก แล้วประกาศพระโอวาทมีอาทิว่า ไม่ควรฆ่าสัตว์ดังนี้.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระเจ้าจักรพรรดิตรัสสั่งอย่างนี้ว่า ท่านทุกคน
ไม่ควรฆ่าสัตว์ ฯลฯ ท่านทั้งหลายจงครอบครองบ้านเมืองตามที่เห็นควรเถิด
ดังนี้.
ถามว่า ก็พระราชาทุกพระองค์ยอมรับโอวาทนี้ของพระราชาธิบดีหรือ.
ตอบว่า พระราชาทุกพระองค์ไม่รับโอวาทนี้ของพระพุทธองค์มาก่อน
จักรับโอวาทของพระราชาอย่างไรได้ เพราะฉะนั้น พระราชาเหล่าใด เป็น
ผู้ฉลาดปราดเปรื่อง พระราชาเหล่านั้นยอมรับ และเมื่อพระราชาทุกพระองค์
ประพฤติตาม ย่อมเจริญ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า
เย โข ปน ภิกฺขเว ดังนี้. ครั้นพระเจ้าจักรพรรดิ พระราชทานพระโอวาท
แก่ชาวเมืองบุพวิเทหะอย่างนี้ เสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว จักรรัตนะนั้นก็
ทะยานขึ้นสู่เวหาสด้วยพลังของพระเจ้าจักรพรรดิ หยั่งลงสู่สมุทรด้านทิศบูรพา.
จักรรัตนะหยั่งลงด้วยประการใด ๆ ลงสู่พื้นมหาสมุทรประมาณโยชน์หนึ่งความ
กระจายของคลื่นลดลงเหมือนพญานาคสูดกลิ่นยาแล้วพังพานหด ตั้งอยู่เหมือน

ฝาแก้วไพฑูรย์ในมหาสมุทรด้วยประการนั้น ๆ. ก็ในขณะนั้นเอง รัตนะต่าง ๆ
ที่เกลื่อนกล่นอยู่ในพื้นมหาสมุทรก็มาจากมหาสมุทรนั้น ทับถมจนเต็มประเทศ
นั้น ดุจจะเชิญชวนให้ชื่นชมมิ่งขวัญคือบุญของพระราชาธิบดีพระองค์นั้น.
ครั้น พระราชาและราชบุรุษ เห็นพื้นมหาสมุทรเต็มไปด้วยรัตนะมีประการต่าง ๆ
นั้น จึงต่างถือเอาเข้าพกเข้าห่อ คามชอบใจ ก็เมื่อบริษัทถือเอารัตนะ
ตามชอบใจจักรรัตนะนั้นก็หมุนกลับ และเมื่อจักรรัตนะนั้นหมุนกลับ บริษัท
จึงอยู่ข้างหน้า พระราชาอยู่ท่ามกลาง จักรรัตนะอยู่ในที่สุด แม้น้ำทะเลนั้น
เป็นเสมือนถูกรัศมีแห่งจักรรัตนะล่อไว้ (กันไว้) และเป็นเสมือนไม่อาจจะ
ทนอยู่ได้ จึงแยกออกจากจักรรัตนะนั้น และซัดเข้านาฟาดขอบวงจักรรัตนะ
อยู่ไม่ขาดสาย. พระเจ้าจักรพรรดิครั้นทรงมีชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ ต่อบุพวิเทห
ทวีป ที่มีมหาสมุทรด้านทิศตะวันออกเป็นขอบเขต ทรงมีพระประสงค์จะได้
ชัยชนะชมพูทวีป อันมีมหาสมุทรด้านทิศใต้เป็นขอบเขต จึงบ่ายพระพักตร์
ไปสู่สมุทรด้านทิศทักษิณ เคยบรรดาที่จักรรัตนะสำแดงแล้ว ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล จักรรัตนะนั้น
ได้พัดผันไปจดสมุทรด้านทิศตะวันออก แล้วกลับพัดผันไปด้านทิศใต้.
ก็วิธีหมุนกลับของจักรรัตนะนั้นที่พัดผันไปอย่างนี้ การชุมนุมของ
หมู่เสนา การเสด็จไปของพระเจ้าประเทศราช การมอบอนุศาสน์แก่เจ้า
ประเทศราชเหล่านั้น การหยั่งลงสู่สมุทรด้านทิศทักษิณ การถือเอารัตนะที่
ไหลมาตามสายน้ำแห่งสมุทร เหล่านี้ทั้งหมดบัณฑิตพึงทราบโดยนัยก่อนนั้น
แหละ.
ก็จักรรัตนะนั้นครั้นมีชัยชนะแล้ว ก็พัดผันข้ามสมุทรด้านทักษิณ
มุ่งชมพูทวีปมีเนื้อที่ประมาณแสนโยชน์ แล้วหมุนไปโดยนัยดังกล่าวแล้วใน
ก่อนนั่นแหละ เพื่อพิชิตอมรโดยานทวีป ครั้นมีชัยชนะอมรโคยานทวีป ซึ่ง

มีสมุทรเป็นชอบเขตนั้น โดยทำนองนั้นแหละ ก็พัดผันข้ามสมุทรด้านทิศปัจฉิม
ไปโดยวิธีนั่นแหละ เพื่อพิชิตอุตตรกุรุทวีป ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 8,000 โยชน์
ครั้นมีชัยชนะอุตตรกุรุทวีป แม้นั้น ซึ่งมีสมุทรเป็นขอบเขตด้วยวิธีอย่างเดียวกัน
ก็พัดผันข้ามมาจากสมุทรด้านทิศอุดร. พระเจ้าจักรพรรดิทรงบรรลุความเป็น
ยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน มีสมุทร 4 เป็นขอบเขต ด้วยประการดังพรรณนามานี้.
พระเจ้าจักรพรรดินั้นมีชัยชนะเด็ดขาดเช่นนี้แล้ว เพื่อจะทรงทอดพระ
เนตรสิริราชสมบัติของพระองค์ จึงทรงพร้อมด้วยบริษัทเหาะขึ้นสู่พื้นนภากาศ
ชั้นบน ตรวจดูทวีปใหญ่ทั้ง 4 มีทวีปน้อย ๆ ทวีปล่ะ 500 เป็นบริวาร
ดุจชาตสระทั้ง 4 ทิศงามไปด้วยหมู่ไม้ต่าง ๆ เช่น ปทุม อุบลและบุณฑริกที่
แย้มดอกบานสล้างฉะนั้น แล้วเสด็จกลับราชธานีเดิมของพระองค์ ตามลำดับ
โดยบรรดาที่แสดงไว้แล้วในจักกุทเทลนั่นแล.
ครั้งนั้นจักรรัตนะนั้น ประดิษฐานอยู่เหมือนเป็นเครื่องเสริมความงาม
ให้ประตูพระราชวัง ก็เมื่อจักรรัตนะนั้นประดิษฐานอยู่เช่นนี้ กิจที่จะพึงกระทำ
เกี่ยวกับคบเพลิงก็ดี การตามประทีปก็ดี ไม่จำต้องมีในพระราชวัง แสงสว่าง
แห่งจักรรัตนะนั้นแหละกำจัด ความมืดในยามราตรีได้ ส่วนคนเหล่าใดต้องการ
ความมืด คนเหล่านั้นก็ได้ความมืด ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทุกฺขิณสมุทฺทํ
อชฺโฌคาเหตฺวา ฯเปฯ เอวรูปํ จกฺกรตนํ ปาตุภวติ
ดังนี้.
ก็อำมาตย์ของพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีจักรรัตนะปรากฏแล้วอย่างนี้
สั่งให้ทำความสะอาดภูมิภาค อันเป็นที่อยู่ของมงคลหัตถีโดยปกติ ให้ลูบไล้
ด้วยของหอมที่ชวนดมมีจันทน์แดงเป็นต้น เบื้องล่างให้เกลื่อนกล่นไปด้วย
โกสุมที่ชวนชมมีวรรณะอันวิจิตร เบื้องบนตบแต่งด้วยดาวทอง มีเพดาน
ประดับไปด้วยพวงโกสุมน่าชินชม รวมอยู่เป็นกลุ่ม ในระหว่างดาวทอง แต่ง
ให้งดงามดุจเทพวิมานแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์

จงทรงจินตนาการถึงการมาของช้างแก้วชื่อเห็นปานนี้. ท้าวเธอบำเพ็ญมหาทาน
สมาทานศีล ประทับนั่งรำพึงถึงบุญสมบัตินั้น โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อน
นั่นแหละ.
ลำดับนั้น ช้างตัวประเสริฐ อันอานุภาพแห่งบุญของพระเจ้าจักร
พรรดิ ตักเตือนแล้วประสงค์จะเสวยสักการะพิเศษนั้น จากตระกูลช้างฉัททันต์
หรือจากตระกูลช้างอุโบสถ มีร่างเผือกผ่องบริสุทธิ์ ประดับด้วยผ้าคชาภรณ์
สำหรับคลุมคอและหน้าสีแดงเข้มดุจดวงพระอาทิตย์อ่อน ๆ มีที่ตั้งอวัยวะทั้ง 7
ถูกลักษณะ คือมีอวัยวะน้อยใหญ่ตั้งถูกส่วนสัด มีปลายงวงแดงเหมือนปทุมทอง
สีแดงที่แย้มบาน สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เหมือนพระโยคีผู้มีฤทธิ์
เป็นช้างประเสริฐที่สุดดุจภูเขาเงิน ที่มียอดฉาบด้วยจุณแห่งมโนศิลา ประดิษ-
ฐานอยู่ในประเทศนั้น ช้างตัวประเสริฐนั้น เมื่อมาจากตระกูลช้างฉัททันต์
ก็มาแต่ตัวยังเล็กกว่าช้างทั้งปวง เมื่อมาจากตระกูลช้างอุโบสถ ก็มาอย่างช้าง
ผู้ประเสริฐกว่าช้างทั้งปวง แต่ในพระบาลีระบุว่า มาในลักษณะพญาช้าง ชื่อ
อุโบสถ. เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิผู้บำเพ็ญวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิ สมบูรณ์แล้ว
ทรงจินตนาการอยู่โดยนัยดังกล่าวแล้วในพระสูตรนั่นเอง. ช้างอุโบสถก็เดินมา
มิใช่มาเพื่อคนเหล่าอื่น ครั้นมาถึงโรงช้างมงคลหัตถีธรรมดาก็นำช้างมงคลหัตถี
ออก แล้วเข้าไปยืนแทนในโรงช้างนั้น ด้วยตนเองทีเดียว ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ฯลฯ
เป็นช้างหลวงชื่ออุโบสถ.
ก็ควาญช้างเป็นต้น เห็นหัตถิรัตนะนั้น ปรากฏเช่นนั้นแล้ว ต่างรื่นเริง
ยินดี รีบไปกราบทูลให้พระราชาธิบดีทรงทราบโดยเร็ว ท้าวเธอเสด็จมาอย่าง

รีบด่วน ทอดพระเนตรเห็นแล้วมีพระราชหฤทัยโปรดปราน ทรงพระดำริว่า
จะเป็นยานช้างที่เจริญหนอ พ่อมหาจำเริญ ถ้าสำเร็จการฝึกหัดแล้วทรงเหยียด
พระหัตถ์ออก. ครั้งนั้นช้างแก้วทำหูผึ่ง เหมือนลูกโคที่ติดแม่โคนมในเรือน
เมื่อจะแสดงความที่คนเป็นสัตว์กล้าหาญ จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา พระองค์มี
ประสงค์จะประทับทรงช้างแก้วนั้น ครั้งนั้น บริวารชนทราบความประสงค์
ของพระองค์แล้ว จึงแต่งช้างแก้วนั้นด้วยธงทอง เครื่องอลังการทอง คลุม
ด้วยตาข่ายทอง แล้วนำเข้าไปถวาย. พระราชาทรงทำช้างแก้วให้สงบ ขึ้น
ประทับโดยบันได สำเร็จด้วยรัตนะ 7 ประการ มีพระทัยมุ่งหมายจะเสด็จไป
ทางอากาศ พร้อมกับที่พระราชาธิบดีทรงดำรินั่นแหละ พญาช้างนั้นก็ทะยาน
ขึ้นสู่พื้นนภากาศสีเขียวครามด้วยข่ายทอง รุ้งด้วยแสงแห่งแก้วอินทนิลและแก้ว
มณี ดุจพญาหงส์. แต่นั้นบริษัทของพระราชาทั้งหมด ก็ติดตามไปโดยนัย
ดังกล่าวแล้วในการท่องเที่ยวไปของจักระ พระราชาพร้อมด้วยบริษัท เสด็จ
ท่องเที่ยวไปทั่วพื้นปฐพีทั้งสิ้น แล้วเสด็จกลับถึงราชธานี ทันเวลาเสวยพระ
กระยาหารเช้า ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ มีฤทธิ์มากอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ทิสฺวา ฯลฯ ปาตุรโหสิ ดังนี้.
บริษัทของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีหัตถิรัตนะปรากฏแล้วเช่นนี้ แล้วช่วย
กันแผ้วถางโรงม้ามงคลให้สะอาด มีพื้นราบเรียบประดับประดาแล้ว กราบ
ทูลเตือนพระราชา ให้มีพระอุตสาหะ จินตนาการถึงการมาของอัสสรัตนะนั้น
ท้าวเธอทรงบำเพ็ญทานสักการะ สมาทานศีล ประทับนั่งบนพื้นปราสาทชั้น
บน ทรงน้อมระลึกถึงบุญสมบัติโดยนัยก่อนนั่นแหละ ครั้งนั้นพญาม้าชื่อ
พลาหก อันอานุภาพแห่งบุญของพระเจ้าจักรพรรดินั้นตักเตือนแล้ว มีความ
สง่างามสีหมอกเหมือนกลุ่มวลาหกขาวในสรทกาลอันคาดด้วยสายฟ้า มีเท้าแดง
ปากแดง มีร่างประกอบด้วยข้อลำล้วนสนิทแนบเนียน เหมือนกลุ่มแสงดวง

จันทร์ มีศีรษะคล้ายศีรษะกา เพราะประกอบด้วยศีรษะมีสีดำ เหมือนคอกา
และเหมือนมณีแกมแก้วอินทนิล มีเส้นผมสลวยเหมือนหญ้าปล้อง เพราะ
ประกอบไปด้วยเส้นผมที่มีปอยละเอียดเหยียดตรงคล้ายกับหญ้าปล้องที่เขาบรรจง
วางเรียงไว้ เหาะไปในอากาศได้ มาจากตระกูลม้าสินธพ ประดิษฐานอยู่ในที่
นั้น คำที่เหลือทุกอย่างพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในหัตถิรัตนะนั้นแล. ทรง
หมายเอา อัสสรัตนะเห็นปานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า ปุน
จปรํ ดังนี้
เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิมีรัตนะปรากฏเช่นนี้ ก็มีมณีรัตนะลอยมาจาก
ภูเขาเวบุลบรรพตยาวประมาณ 4 ศอก มีสัณฐานประมาณขนาดดุมเกวียน
ที่สุดสองข้างล้อมไปด้วยกรรณิกา ประดับด้วยประทุมทองสองข้าง มีกลุ่ม
มุกดาสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน เป็นดุจดวงจันทร์วันเพ็ญ ที่แวดล้อมไป
ด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ทอแสงแผ่รัศมีไปฉะนั้น เนื้อแก้วมณีนั้นลอยมาอย่างนี้
แล้ว เขาก็ใช้ไม้ไผ่ต่อ ๆ กัน ยกขึ้นสู่อากาศ สูงประมาณ 60 ศอก โดย
เว้นข่ายแห่งแก้วมุกดาไว้ ในกลางคืนจะมีแสงแผ่ไปทั่วบริเวณประมาณโยชน์
หนึ่งโดยรอบ มณีรัตนะที่ให้เกิดแสงสว่างทั่วบริเวณทั้งหมด ดุจแสงสว่างใน
เวลาพระอาทิตย์ขึ้น นั้นเป็นผลให้ชาวนาประกอบกสิกรรมได้ พ่อค้าพาณิช
ติดต่อซื้อขายกันได้ในท้องตลาด ผู้ที่ถนัดอาชีพแต่ละสาขา ต่างสำคัญว่า เป็น
กลางวัน ดำเนินธุรกิจการงานของตนได้ตามหน้าที่ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก ฯลฯ มณีรัตนะ
ย่อมปรากฏดังนี้.
อิตถีรัตนะอันเป็นเหตุให้เกิดความสุขพิเศษตามเพศวิสัย ย่อมบังเกิด
แก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีมณีรัตนะปรากฏแล้วเช่นนี้. ก็ชาวประชาย่อมน่าอัคร
มเหสีมาแต่ตระกูลมัททราช ถวายองค์พระเจ้าจักรพรรดิบ้าง อัครมเหสีเสด็จ

มาเองจากอุตตรกุรุทวีป ด้วยบุญญานุภาพบ้าง. ก็คุณสมบัติที่เหลือของอัคร-
มเหสีนั้น มีมาแล้วในพระบาลีทั้งหมดโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ประการอื่นยังมีอีก นางแก้วรูปงาม น่าดูย่อมปรากแก่พระเจ้าจักรพรรดิ
ดังนี้. ในบทที่มาในพระบาลีเหล่านั้น มีวินิจฉัยดังนี้ ที่ชื่อว่า อภิรูปา
เพราะมีรูปงาม โดยสมบูรณ์ด้วยทรวดทรง. ก็เมื่อจะมองดู ก็อิ่มตา (มองได้
เต็มตา) เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทัสสนียา เพราะต้องพักกิจอย่างอื่นไว้แล้ว
เหลียวมามอง. และชื่อว่า ปาสาทิกา เพราะเมื่อมอง ก็นำให้มีจิตชื่นชม
โสมนัส. บทว่า ปรมาย ความว่า ชื่อว่า สูงสุด เพราะนำความเลื่อมใสมา
ให้อย่างนี้ . บทว่า วณฺณโปกิขรตาย แปลว่า มีผิวพรรณงาม. บทว่า
สมนฺนาคตา แปลว่า เข้าถึง. อีกประการหนึ่ง ชื่อว่า มีรูปงาม เพราะ
ไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ชื่อว่า น่าดู เพราะไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ชื่อว่า
น่าเลื่อมใส เพราะไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก ชื่อว่าประกอบด้วยความงามแห่งผิว
พรรณอย่างยิ่ง เพราะล่วงผิวพรรณของมนุษย์ แต่ยังไม่ถึงขั้นผิวพรรณทิพย์
ความจริง ผิวพรรณของมนุษย์ทั้งหลายยังไม่มีแสงสว่างสร้านไปภายนอก ส่วน
ผิวพรรณของเทวดาสร้านออกไปได้ไกลมาก. แต่แสงสว่างแห่งเรือนร่างของ
นางแก้วนั้น สว่างไปทั่วบริเวณประมาณ 12 ศอก ก็ในบรรดาคุณสมบัติมี
ความเป็นผู้ไม่สูงนักเป็นต้น ท่านกล่าวอาโรหสมบัติไว้ด้วยคุณสมบัติคู่แรก
กล่าวปริณาหสมบัติไว้ด้วยคุณสมบัติคู่ที่สอง กล่าววรรณสมบัติไว้ด้วย
คุณสมบัติคู่ที่สาม. อีกประการหนึ่งด้วยคุณสมบัติ 6 ประการเหล่านี้ อัคร-
มเหสีไม่มีความบกพร่องทางกายเลย.
กายสมบัติ ตรัสไว้ด้วยบทนี้ว่า อติกิกนฺตา มนุสฺสวณฺณํ บทว่า
ตูลปิจุโน วา กปฺปาสปิจุโน วา ความว่า มีสัมผัสทางกายปานประหนึ่ง
สัมผัสปุยนุ่น หรือปุยฝ้ายที่เขาใส่ไว้ในเนยใส แล้วสลัดทิ้งตั้ง 100 ครั้ง.

บทว่า สีเต ได้แก่ ในคราวที่พระราชาธิบดีหนาว. บทว่า อุณฺเห ได้แก่
ในคราวที่พระราชาธิบดีร้อน. บทว่า จนฺทนคนฺโธ ความว่า กลิ่นจันทน์
ที่เขาบดอยู่ตลอดเวลา (จนละเอียด) หมู่เอี่ยมนำมาเคล้ากับชาติทั้ง 4 ย่อมฟุ้ง
ออกจากกาย. บทว่า อุปฺปลคนฺโธ ความว่า กลิ่นที่หอมอบอวลของนีล
อุบลที่เขาเด็ดดอกในขณะนั้น ย่อมหอมฟุ้งออกจากปากในเวลาแย้ม สรวลหรือ
เจรจา. ก็เพื่อจะแสดงถึงมรรยาทอันสมควรแก่สรีรสมบัติของนางแก้ว เพราะ
ประกอบด้วยคันธสมบัติเห็นปานนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตํ โข ปน ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในบทเหล่านั้น ดังนี้ ที่ชื่อว่า ปุพฺพุฏฺฐายินี (ตื่นก่อน)
เพราะจะต้องลุกขึ้นก่อนทีเดียว ดุจระแวงว่าพระราชาทรงเห็นแล้ว จะกริ้ว
ดังไฟไหม้ แต่ราชอาสน์. ชื่อว่า ปจฺฉานิปาตินี (นอนที่หลัง) เพราะเมื่อ
พระราชาประทับนั่ง จะต้องอยู่เวรถวายงานพัดสมเด็จพระราชาธิบดีก่อนแล้ว
จึงจะนอนหรือพักได้ในภายหลัง. ที่ชื่อว่า กึการปฏิสฺสาวินี (คอยฟัง
บรรหารคำรับสั่ง) เพราะจะต้องรับสนองพระโอฐด้วยวาจาว่า ขอเดชะ
หม่อมฉัน จะต้องทำอะไร. ที่ชื่อว่า มนาปจารินี (ประพฤติถูกพระทัย) เพราะ
จะต้องประพฤติคือกระทำให้ถูกพระทัยพระราชา. ที่ชื่อว่า ปิยวาทินี (ทูล
ปราศัยเป็นที่โปรดปราน) เพราะพระราชาโปรดอย่างใด จะต้องทูลอย่างนั้น.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงว่า นางแก้วนั้นต้องมีอาจาระบริสุทธิ์ผุดผ่อง โดย
ถ่ายเดียว ไม่มีมายาสาไถย จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตํ โข ปน ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน อติจรติ ได้แก่ ไม่ประพฤตินอกใจ
อธิบายว่า ไม่ปรารถนาชายอื่นแม้ด้วยใจ. ในบรรดาคุณสมบัติเหล่านั้น คุณ
สมบัติเหล่าใดที่ตรัสไว้ในตอนต้นว่า ต้องมีรูปงามเป็นต้นก็ดี ที่ตรัสไว้ใน
ตอนท้ายว่า ต้องลุกก่อนเป็นต้นก็ดี คุณสมบัติเหล่านั้น ตรัสว่าเป็นคุณสมบัติ
ธรรมดาเท่านั้น ก็บทเป็นต้นว่า อติกฺกนฺตา มนุสฺสานํ พึงทราบว่า

เจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย ย่อมบังเกิดด้วยอานุภาพแห่งกรรมเก่า นับแต่
จักรรัตนะปรากฏ เพราะต้องอาศัยบุญบารมี. อีกประการหนึ่ง จำเดิมแต่
จักรรัตนะปรากฏ แม้ความเป็นผู้มีรูปงามเป็นต้น บังเกิดบริบูรณ์ไปทุกสิ่ง
ทุกอย่าง. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อิตถีรัตนะเห็นปานนี้
ย่อมบังเกิด ดังนี้.
คฤหบดีรัตนะย่อมปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีอิตถีรัตนะปรากฏ
แล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกเกี่ยวกับกิจการด้านท้องพระคลัง ตามพระราช
อัธยาศัย ผู้ที่มีโภคะมากตามปกติก็ดี ผู้ที่เกิดในตระกูลมีโภคะมากก็ดี มีส่วน
ช่วยให้กิจการท้องพระคลังของพระราชาเจริญรุ่งเรื่อง จึงจะเป็นเศรษฐีคฤหบดี
ได้. ก็จักษุเพียงดังทิพย์เกิดแต่วิบากกรรมพร้อมที่จะอำนวยประโยชน์ ย่อม
ปรากฏแก่คฤหบดีแก้วนั้นทีเดียว เป็นเหตุให้มองเห็นทรัพย์ภายในแผ่นดินได้
ในรัศมี 1 โยชน์ เขาเห็นสมบัตินั้นแล้วดีใจ ไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ รับ
อาสาทำหน้าที่การคลังให้พระราชา ดำเนินธุรกิจการคลังทุกอย่างให้สมบูรณ์.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมี
อีก ฯลฯ คหบดีรัตนะเห็นปานนี้ ย่อมปรากฏดังนี้.
ก็ปริณายกรัตนะสามารถจัดแจงกิจการทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จ ย่อม
ปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิผู้มีคฤหบดีแก้วปรากฏแล้วพระองค์นั้น ด้วย
ประการฉะนี้. ปริณายกนั้น ย่อมเป็นเสมือนราชบุตรคนโตของพระเจ้าจักรพรรดิ
เป็นบัณฑิตฉลาด มีปัญญาโดยปกติทีเดียว ก็ปรจิตตญาณ (ญาณกำหนดรู้ใจ
คนอื่น) ย่อมบังเกิดแก่ปริณายกรัตนะนั้น ด้วยอานุภาพแห่งกรรมของตนเอง
เพราะอาศัยบุญญานุภาพของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นเหตุให้สามารถรู้วาระจิต
ของข้าราชบริพารได้ประมาณ 12 โยชน์ แล้วกำหนดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

และสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับพระราชาได้. แม้ปริณายกนั้น เห็นอานุภาพ
ของตนนั้นแล้วดีใจ รับอาสาพระราชา โดยสั่งการแทนในกิจการทุกอย่าง.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก
ปริณายกรัตนะย่อมปรากฏ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฐเปตพฺพํ ฐเปตุํ ได้แก่ เพื่อทรงแต่งตั้ง
ผู้ที่ควรแต่งตั้งในตำแหน่งนั้น ๆ. บทว่า สมเวปากินิยา เป็นต้น ท่านกล่าว
ไว้แล้วในหนหลังแล. บทว่า กฏคฺคาเหน แปลว่า เพราะฉวยเอาชัยชนะ
ไว้ได้. บทว่า มหนฺตโภคกฺขนธํ ความว่า จะพึงได้เงินสองหรือสามแสน
ด้วยการฉวยเอาชัยชนะได้ครั้งเดียวเท่านั้น. บทว่า เกวลา ปริปูรา ปณฺฑิต-
ภูมิ
ความว่า บัณฑิตบำเพ็ญสุจริตสามย่อมบังเกิดในสวรรค์. จากนั้น เมื่อ
มาสู่มนุษยโลก ย่อมบังเกิดในที่ซึ่งมีความสมบูรณ์ด้วยตระกูล รูปและโภคะ
เขาตั้งอยู่ในสมบัตินั้นแล้ว บำเพ็ญสุจริต 3 ให้บริบูรณ์ ย่อมได้ไปบังเกิดใน
สวรรค์อีก. ตามที่พรรณนามานี้ จึงจัดได้ว่าเป็นภูมิของบัณฑิตอย่างครบถ้วน
บริบูรณ์. บทที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาพาลบัณฑิตสูตร ที่ 9

10. เทวทูตสูตร



[504] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว.
[505] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนเรือน 2 หลังมีประตูตรงกัน บุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ระหว่างกลางเรือน
2 หลังนั้น พึงเห็นมนุษย์กำลังเข้าเรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลัง
เดินมาบ้าง กำลังเดินไปบ้างฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
เราย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติกำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มี
ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ย่อมทราบชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมได้ว่า สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านั้น
ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็น
สัมมาทิฏฐิ เชื่อมันกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิเมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ก็มี สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ เธอมั่นกรรมด้วยอำนาจ
สัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว บังเกิดในหมู่มนุษย์ก็มี สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้
ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉา-
ทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงปิตติวิสัยก็มี
สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต